DAY 2 หลังที่พักผ่อนอย่างเต็มที่มั้ง ... เพราะจริง ๆ ก็ไม่ค่อยได้นอนเต็มที่เท่าไหร่ แบบว่าเปลี่ยนที่นอนทีไร นอนไม่ค่อยหลับครับ ฮ่า ๆ มีใครเป็นแบบนี้บ้างครับ แต่เอาเป็นว่าเข้าเรื่องดีกว่าครับ อย่างที่บอกว่าโรงแรมนี้บริการอาหารเช้า แต่เดี๋ยวก่อน อย่าคาดหวังอะไรมากเพราะผมว่าคุณภาพอาหารก็เหมาะสมตามราคาค่าห้องที่จ่ายไป พันกว่าบาทต่อคืน ก็ถือว่าไม่เลวร้ายสำหรับอาหารเช้า มีไส้กรอก ไข่ขน ขนมปัง ชา กาแฟ น้ำผลไม้ ก็น่าจะเพียงพอละครับ แต่ขอบอกว่าครัวซองอร่อยเชียวครับ ส่วนสำหรับเช้านี้ก็ทานพออิ่มสำหรับดำรงชีวิตได้ครึ่งวันเช้าครับ สถานที่แรกที่จะไปสำหรับวันนี้คือ พิพิธภัณฑ์ครับ และสิ่งที่ชอบมากอย่างหนึ่งสำหรับการไปพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ คือการออกแบบของตัวตึก ส่วนมากจะออกแบบดูยิ่งใหญ่ อลังการ ทรงคุณค่า และมีการจัดวางรายละเอียด อย่างเป็นระบบระเบียบ และที่นี้ก็เช่นกัน แค่มองจากด้านนอกก็พอเดาได้ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร Space Museum หรือ Museum of Cosmonautics ถือเป็นสถานที่ที่ควรไปเมื่อไปมอสโคครับ เราอาจจะลืมไปแล้วว่ารัสเซียเคยเป็นประเทศมหาอำนาจก่อนที่ล่มสลาย เป็นประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองมาก และหนึ่งในนั้นที่ชิงดีชิงเด่นกันสหรัฐอเมริกา คือเรื่องของการเดินไปทางอวกาศ พิพิธภัณฑ์นี้รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ทั้งหมด รายละเอียดส่วนใหญ่จะมีภาษาอังกฤษกำกับอธิบายประกอบ แต่ก็มีบางส่วนที่มีแต่ภาษารัสเซีย แต่ผมไม่ค่อยได้อ่าน อาศัยเดินชมเอามากกว่า นอกจากจะสนใจจริง ๆ มาพิพิธภัณฑ์นี้จะเห็นถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีในสมัยก่อน ทำให้เราย้อนนึกถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ ร่ำรวยจริง ๆ ครับ Tips: 1. พิพิธภัณฑ์นี้ถ้าจะถ่ายรูปด้วยกล้องจะต้องเสียเงินค่าถ่ายรูป ซึ่งราคาเกือบจะเท่ากับค่าเข้าชม ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ่ายด้วยมือถือได้หรือเปล่า แต่เห็นคนที่เข้าไปถ่ายด้วยกล้องมือถือ แต่ทางที่ดี จ่ายเงินไปจะดีกว่าครับ 2. พิพิธภัณฑ์ใหญ่พอควร อย่างน้อยควรมีเวลาสัก 2 ชม. ในการเดินชมแบบสบาย ๆ ครับ หลังจากอิ่มเรียบร้อยก็เดินทางต่อมาชมละครสัตว์ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรชม เพราะว่าละครสัตว์สัตว์ที่รัสเซียก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอยู่ครับ และไม่ต้องกังวลว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะไม่มีบทพูดเลย เป็นการแสดงล้วน ๆ ครับ มีคนทั้งแสดงและสัตว์แสดง โรงละครก็ใหญ่พอควรครับ คนแสดงก็น่าจะร่วม 30-40 คนได้ครับ รอบที่ไปชมเป็นรอบบ่าย ก็มีโชว์หลายอย่างอยู่ น่าสนใจ ตื่นตาตื่นใจดีเหมือนกันครับ เพราะว่าไม่ได้ชมละครสัตว์มานานมากแล้ว การแสดงในรอบนี้มีสัตว์อยู่หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น น้องหมา ม้า หมี และหมีขาว แต่เสียดายไม่มีสิงโตครับ ส่วนเวทีก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดและที่ตกใจคือมีลานน้ำแข็งด้วยตอนการแสดงของหมีขาว ส่วนค่าบัตรก็ไม่แพงมากครับ ประมาณสองพันบาทครับ การแสดงประมาณ 2 ชั่วโมง มีพักเบรค 1 ครั้งครับ สามารถซื้อบัตรล่วงหน้าได้ผ่านหน้าเว็บ Great State Classical Moscow Circus (Established 1971) หรือว่าจะไปซื้อบัตรที่ห้างกุมก็ได้เช่นกันครับ บูธขายอยู่ชั้นล่าง ลองเดินหาดูนะครับ หาไม่ยากครับ Tips: 1. ควรไปถึงโรงละครก่อนสักครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยนะครับ ถึงแม้จะเดินออกมาจากรถไฟใต้ดินถึงเลยก็ตาม แต่ก็เดินไกลพอควร และจะได้มีเวลาฝากของ เข้าห้องน้ำ เดินหาที่นั่งครับ 2. ถึงแม้ว่าโรงละครจะใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ไกลจากเวทีมาก อาจจะไม่ต้องเลือกที่นั่งด้านหน้าหรือแพงมากก็ได้ครับ นอกเสียจากว่าอยากชมแบบใกล้ชิดครับ
เครดิตข้อมูลเพิ่มเติมจากเพจเที่ยวรัสเซีย เกี่ยวกับ Sparrow Hill ครับ "เนินเขานี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมอสโก มองเห็นวิวทั่งเมือง และมีความสูง 220 เมตร เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในเมืองมอสโก เนินเขานี้มีชื่อในภาษารัสเซียว่า Воробьевы горы และในภาษาอังกฤษคือ Vorobyovy Gory เนินเขาได้ตั้งชื่อตามชื่อหมู่บ้าน Vorobyovo ตามหลักฐานที่นักเขียน และกวีในสมัยก่อนได้เขียนไว้ แต่ก่อนเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวชนชั้นสูง หรือ โบย่า ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษ ที่ 14 ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งไว้แต่เดิม ว่าเป็นหมู่บ้านของตระกูล Vorobyov (วลาบียอฟ) ในภาษารัสเซียก็เหมือนกัน เขาก็ก็เรียกว่า วลาบียอวึย โกรึย ซึ่ง "โกรึย" เป็นนามของการเรียกภูเขาของใครนั่นเอง ซึ่งไม่ได้มีเรื่องราวซับซ้อนอะไร ในศตวรรษที่ 15 เจ้าหญิงโซเฟีย แห่งลิทัวเนีย ก็มาซื้อพื้นที่แห่งนี้ แล้วตั้งชื่อตามเจ้าของพื้นที่เดิม คือ โบย่า ยูริ วลาบียอฟ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ไม่มีนกกระจอก ไม่มี Sparrow ที่แปลว่านกกระจอก มีแต่ "เนินเขาวลาบียอฟ" หรือ "วลาบียอวึย โกรึย" หรือ "เนินเขาของตระกูลวลาบียอฟ" นั่นเอง แต่ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์เกิดจากพวกฝรั่งอังกฤษเอาคำว่า วลาบียอฟ ในภาษารัสเซียไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลออกมาได้คำว่า Sparrow หรือ นกกระจอกนั่นเอง" หลังจากชมวิวเมืองกันไปแล้วก็มาถึงอีกหนึ่งสถานที่สำคัญนั่นก็คือ Church of Christ Savior หรือโบสถ์โดมทองครับ ข้อมูลและประวัติตามข้อมูลจากเพจเที่ยวรัสเซีย
"โบสถ์เซนต์ซาเวียร์ หรือโบสถ์โดมทอง โบสถ์โดมทอง ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1812 เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์รัสเซียหลังจากที่กองทัพของนโปเลียนถอยทัพออกไปจากประเทศรัสเซียจนหมด โดยเริ่มต้นจากการที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มีรับสั่งให้สร้างโบสถ์นี้ขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์เพื่อขอบคุณพระเจ้า และเพื่อเป็นเกียรติให้กับเหล่าทหารในกองทัพรัสเซียที่ชนะในสงครามนโปเลียน โดยโครงการก่อสร้างได้เริ่มต้นขึ้น 5 ปีหลังจากการจบลงของสงครามนโปเลียน โดยในปี ค.ศ. 1817 การก่อสร้างเกิดขึ้นใกล้ๆ ระหว่าง สโมเลนส์ กับ ถนนคาลูก้า แต่ด้วยความที่พื้นดินมีความเปียกชื้นสูง เลยไม่สามารถก่อสร้างได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1832 ซาร์นิโคลัสที่ 1 ได้อนุมัติโครงการก่อสร้างโบสถ์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยให้สร้างใกล้เครมลิน และจตุรัสแดง ใกล้กับแม่น้ำมอสโก และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1841 แต่เมื่อลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามามีอิทธิพลในประเทศรัสเซีย และมีการเปลี่ยนการปกครองขึ้น ในปี ค.ศ. 1922 ทำให้โบสถ์โดมทองต้องถูกทำลายลงในสมัยของโจเซฟ สตาลิน ในปี ค.ศ. 1931เพราะความเชื่อของลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่ไม่ต้องการให้ประชาชนมีความเชื่อในทางศาสนา แต่หันมาเชื่อหลักการคอมมิวนิสต์แทน แต่ถึงกระนั้น ศาสนาไม่ได้ถูกทำลายลง แต่ไม่ได้มีกิจกรรมทางศาสนามากนักเหมือนครั้งก่อนการปฏิรูป และโบสถ์โดมทองก็ถูกทำลายลง และตามมาด้วยแผนการล้นฟ้าของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จะดำเนินการสร้างที่ทำการพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเพื่อเป็นการให้เกียรติแด่ผู้นำคอมมิวนิสต์โลก เลนิน หรือ วลาดิมีร์ เลนิน แต่ก็ไม่สำเร็จอันเนื่องมาจากโดนแม่น้ำมอสโกกัดเซาะอยู่นานหลายปี จนโครงการถูกลืมไป แต่ก็ได้สร้างสระน้ำสาธารณะขนาดใหญ่ขึ้นมาแทนที่ โบสถ์โดมทองถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งระหว่างปี ค.ศ. 1994-2000 จากการรวมตัวกันของผู้นำทางศาสนาของศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ทั้งประเทศ และการบริจาคของประชาชนผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย ทำให้โบสถ์โดมทองกลับคืนมาอีกครั้งเพื่อเป็นศูนย์กลางทางศาสนา ของชาวคริสต์นิกายออโธดอกซ์ อีกครั้ง การเดินทาง : สถานีรถไฟ kropotkinskaya" เป็นอันจบกระบวนความของวันที่ 2 แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าครับ ติดตามอ่านตอนเก่าได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ Part 1 Part 2 |
AKARAT SOWNot Just Another Ordinary Guy Archives
January 2019
Categories
All
|